เมื่อ ป.เป็ด เจาะเวลาหาสุนทรภู่ (ตอน ๑)

(บทความนี้ขโมยมาจาก facebook ของพี่เป็ดแบบหน้าด้านๆ โดยนาย ble3d อิอิ 😀 )

snap062ป. เป็ดมาอีกแล้วครับ คราวนี้มาพร้อมเรื่องราวมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ชนิด Believe it or not ของ โรเบิร์ต ริปลีย์ ยังต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แซงตรงโค้งหักศอกพอดี
ชายคนหนึ่งบ้านอยู่ซอยเดียวกับผม รู้จักคุ้นเคยกันดี ไม่ทราบไปทำอีท่าไหน เกิดหลุดทะลุมิติกาลเวลา (Journey through time) จากปีปัจจุบัน ๒๕๕๘ ไปโผล่ในยุคอดีตเมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีก่อน และได้พบกับ สุนทรภู่ กวีเอกกรุงรัตนโกสินทร์

หลังจากกลับสู่มิติปัจจุบัน ชายผู้นี้ล้มป่วยเพราะปอดบวมรุนแรง พออาการทุเลาผมแวะไปเยี่ยมเขาที่บ้าน และได้ฟังคำบอกเล่าเบื้องต้น รู้สึกสนใจจึงมาเยี่ยมอีกครั้งโดยนำเทปบันทึกเสียงมาด้วย เพื่อถอดคำพูดของเขาในเทป ก่อนเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดให้ต่อเนื่อง

ขอเรียนให้ทราบก่อนนะครับ ว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีมุขตลกเช่นเรื่องก่อนๆ ที่ผมเคยนำเสนอ เพราะเป็นประสบการณ์ตรงของเพื่อนร่วมซอย ซึ่งมีความแปลกพิสดารมาก ผมจึงเอามาเล่าสู่กันฟังแบบซีเรียสจริงจังครับ (หมายเหตุ.- เพื่อนๆ สมาชิกที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวเกิน ๓ บรรทัด จะดูแต่ภาพประกอบแล้วข้ามไปก็ได้นะครับ ไม่ถือว่าผิดกฎกติกามารยาท อิอิอิ)

 

สุนทรภู่ตัวจริงเสียงจริง

หลังจากดื่มกินที่ร้านอาหารยอดนิยมย่านประตูผี สี่แยกสำราญราษฎร์ ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงจนบ่ายสามครึ่ง กลุ่มผู้ร่วมสังสรรค์ก็พร้อมใจกันแยกย้ายกลับเคหสถานบ้านช่องของตน โดยไม่ต้องรอตำรวจหรือทหารมาสลายเพราะชุมนุมเกิน ๕ คน

ชะมวง (แปลว่า ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบมีรสเปรี้ยว รับประทานได้เหมือนผัก) หนุ่มใหญ่วัย ๔๒ ทั้งมึนและเมาจนรู้สึกว่าโลกนี้แกว่งไปมาเหมือนอยู่บนเปลญวน แต่ก็ฝืนเดินตามถนนมหาไชยมาทางผ่านฟ้าเพื่อให้สร่าง เดินพลางงึมงำร้องเพลง “ยวนย่าเหล” เบาๆ พอให้ตัวเองได้ยิน ไม่สนใจผู้คนที่เดินผ่านไปมา

“ยวน อะ ยวนยาเหล…ยวน อ๊ะ ยวนยาเหล่…หัวจายว้าเหว่ ม่ายรู้จาเร่ไปหาคราย…จาซื้อเปลยวน อ๊ะ ที่ด้ายยอนยอนนนน…เอ้า – จะซื้อเปลยวนที่ดายยอนยอนนนน…จาอาวน้องนอนนนน…เอ้า…กวายช้าวกวายเยนนนน – เป๊กพ่อ…”

พอถึงหน้าวัดเทพธิดารามวรวิหาร บังเกิดลมพายุรุนแรงกะทันหันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีฆ้องระนาดลาดตะโพน ฉิ่งฉับกรับโหม่ง ฟ้าสว่างเมื่อครู่มีเมฆหนาดำทะมึนเคลื่อนมาทุกทิศ ราวกับเมฆาสึนามิที่ถาโถมเข้าแทนที่ห้วงนภากาศอย่างฉับพลัน

เพียงไม่กี่นาทีฝนก็เทลงมาอย่างหนัก เริ่มจากเม็ดใหญ่เป็นเม็ดเล็กและเม็ดจิ๋ว พร้อมฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าครบเครื่องเรื่องธรรมชาติ สายฝนตกต่อเนื่องจนมองดูเป็นม่านสีขาว อำพรางสภาพแวดล้อมต่างๆ กลายเป็นภาพเบลอๆ ผู้คนบนบาทวิถีวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น รถราบนถนนหยุดนิ่งทันทีราวกับถูกสาป พายุพัดสายฝนสาดกระจายไปทั่ว ป้ายต่างๆ ตามอาคารร้านค้าสั่นไหวเหมือนจะหลุดลอยไปกับกระแสลม

วัดเทพธิดาชะมวงรีบหลบเข้าในช่องประตูวัด อาศัยความใหญ่หนาเป็นที่กำบัง แม้จะช่วยได้ไม่มาก แต่ยังดีกว่าเย้ยฟ้าท้าพายุในที่โล่ง น้ำฝนเปียกโชกทั้งตัวแต่เขาไม่สนใจ พยายามยืนเบียดชิดเสาประตูให้มากที่สุด แล้วฟ้าก็ผ่าลงมาติดๆ กันหลายครั้งจนพื้นดินสะเทือน หนุ่มใหญ่รีบยกมืออุดหูทำคอย่นหลับตาปี๋ แต่ยังรู้สึกหูอื้อและมีแสงวูบวาบอยู่ในกระบอกตา อสุนีบาตสำแดงเดชราว ๓๐ วินาที ตามด้วยฟ้าแลบแปลบปลาบและเสียงกึกก้องเหมือนมีปืนใหญ่สัก ๑๐ กระบอกระดมยิงอยู่ใกล้ๆ มนุษย์ชื่อเหมือนต้นไม้บอกตัวเองว่าขืนหลบอยู่ตรงนี้ ฟ้าอาจผ่าลงมาอีกโดยมีประตูวัดเป็นเป้าก็ได้ ค่อยๆ ลืมตาแล้วตัดสินใจวิ่งออกไปที่ถนน เพื่อหาที่หลบตามชายคาตึกแถว แต่ร่างของเขาปะทะกับม่านฝนที่หนาดุจกำแพง แต่ในวินาทีนั้นเองฟ้าได้แลบขึ้นหนึ่งครั้ง กำแพงฝนจึงแหวกเป็นช่องให้ชะมวงหลุดผ่านออกมาได้

พอตั้งตัวติดเขาก็ต้องลืมตาโพลง ยืนตะลึงด้วยความตกใจสุดขีด พายุฝนบ้าคลั่งเมื่อครู่นี้เหลือเพียงตกพรำๆ ถนนมหาไชยกลายเป็นถนนดินสีดำแคบๆ เฉอะแฉะ มีน้ำขังเป็นแห่งๆ ไม่มีบาทวิถี ไม่มียวดยาน ไม่มีผู้คน ฝั่งตรงข้ามวัดไม่มีอาคารร้านค้า มีแต่แนวกำแพงเมืองสีกระดำกระด่างทอดยาวไปไกล

ชะมวงหันมองวัดเทพธิดารามฯ ภาพที่เห็นคือความเก่าโบราณ ประตูวัดกลายเป็นซุ้มเล็กๆ ทำด้วยไม้พอให้เดินผ่านเข้าออกได้ ตลอดแนวที่ขนานไปกับถนนมหาไชย มีแต่พงหญ้าสูงระดับเอว ไม่ใช่กำแพงปูนที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ ความตื่นเต้นตกใจทำให้ชะมวงหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือแต่มันหยุดเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขารู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เกิดอะไรขึ้น??? ถามตัวเองในใจ ทำไมทุกอย่างจึงเปลี่ยนสภาพไป วัดก็เปลี่ยน ถนนหนทางก็เปลี่ยน จากภาพคุ้นตากลายเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

นายต้นไม้ใจเต้นระทึก ยกมือทุบแขนตัวเองพิสูจน์ว่าสิ่งที่เห็นคือเรื่องจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ พอรู้สึกเจ็บก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขี้น เขามองซ้ายมองขวาหาทางกลับสู่สภาพเดิม แล้วก็ต้องรีบมองไกลออกไปเมื่อมีกลุ่มคนหญิงชายหลายสิบคน กำลังเดินผ่านโบสถ์มุ่งไปทางเดียวกัน ผู้ชายนุ่งโจงกระเบนสีมอๆ แต่สั้นเหนือเข่า ทุกคนมีผ้าโพกศีรษะ บ่าสะพายดาบพร้อมฝัก บางคนถือในมือ ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อมิดชิด ผมตัดสั้นเหมือนบุรุษ คนทั้งหมดเดินเท้าเปล่าและไม่สนใจกับสายฝนที่ตกพรำตลอดเวลา ลักษณะท่าทางและการแต่งกายของกลุ่มคนที่เห็น ทำให้ชะมวงรู้ว่ากำลังอยู่ในห้วงเวลาอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและเขาโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร

ก้มดูตัวเองและเชื่อว่าต้องเกิดโกลาหลแน่ หากมีใครบังเอิญมาพบเห็นเขาสวมเสื้อยืดคอปก กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ จึงเหลียวมองไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาหยุดที่เพิงหมาแหงนหลังหนึ่งห่างออกไปราว ๕๐ เมตร ตัดสินใจค่อยๆ ก้มตัวลัดเลาะพงหญ้าไปที่นั่น
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในเพิง แต่ที่ราวไม้ไผ่ใต้หลังคาชะมวงเห็นผ้าหลายผืนพาดแขวนอยู่
ใน ๑๕ นาทีนั้นเอง ชะมวงก็กลายเป็นชาวบ้านคนหนึ่งของยุคนี้ คือนุ่งโจงกระเบนเหนือเข่าเหมือนชาวบ้านที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ ศีรษะโพกผ้าเพื่อปิดบังผมที่ยาวเฟื้อยถึงต้นคอ ชุดที่สวมใส่ตอนแรกกับนาฬิกา และรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง ถูกห่อด้วยใบตองซุกไว้ในที่ลับตา

เขาย่องกลับมาที่เดิมแล้วลุกยืนสำรวจทางหนีทีไล่ พอดีมีหนุ่มสาวสองคนเดินตรงมาที่ประตูวัด ชะมวงรีบหันหลังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่แล้วก็ใจหายวาบเมื่อได้ยินฝ่ายชายเอ่ยขึ้น
“เอ็งเฝ้ารอผู้ใดรึ? จึ่งมิเร่งไปกุฏิท่านอาจารย์”
นายต้นไม้สะดุ้งเฮือก ใจเต้นเหมือนตีกลอง คำพูดนั้นเป็นสำนวนโบราณเหมือนที่เคยดูในละครย้อนยุค หันไปส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้คนทั้งสอง

มหาไชยฝ่ายชายร่างสูงใหญ่ ล่ำสัน บึกบึน หวีผมแสกกลางที่เรียกว่าทรง “มหาดไทย” หรือทรง “หลักแจว” ด้านหลังสั้นเกรียน เคราดกครึ้ม เหนือปากมีหนวดดำหนาปลายขมวดงอนชี้ขึ้นนัยน์ตา อกเปลือยเปล่าเพราะไม่สวมเสื้อ เห็นมัดกล้ามที่ลำตัวและท่อนแขน พร้อมรอยสักยันต์กลางอกไปถึงบ่าสองข้าง นุ่งโจงกระเบนแค่ต้นขาหรือ “ถกเขมร” ไม่สวมรองเท้า มือซ้ายถือดาบที่อยู่ในฝัก ฝ่ายหญิงหน้าตาสวยดุแบบผู้หญิงสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี หวีผมแสกกลางเช่นเดียวกับฝ่ายชาย แต่แสกเฉพาะด้านหน้าเพียงเล็กน้อย เรียกว่า “ผมปีก” ส่วนผมด้านหลังสั้น คุณเธออยู่ในชุดโจงกระเบนยาวถึงเข่า เสื้อรัดรูปแขนยาวทรงกระบอก มีผ้าแถบคาดอกแบบตะเบงมาน ห่มสไบเฉียงสีชมพู ไม่สวมรองเท้าเช่นกัน “สีหน้าเบิกบานเยี่ยงนี้ ข้าว่าต้องเฝ้ารอแม่หญิงคู่รักเป็นแม่นมั่น” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ ชะมวงยิ้มแห้งๆ อีก สายตาจ้องหนุ่มสาวตลอดเวลา ในที่สุดนายต้นไม้ก็พูดขึ้น
“เอ้อ…สวัสดีครับ”
“เอ็งกล่าวกระไร…สัสดีรึ?” อ้ายเสมาแห่งนวนิยาย “ขุนศึก” ของ ไม้ เมืองเดิม ทำหน้าพิศวง “ข้าหาใช่สัสดีไม่ ข้าคือหัวหมู่ทะลวงฟันอยู่ที่กำแพงโน้น” พูดพลางชี้ด้ามดาบไปที่ป้อมมหากาฬ “มีเหตุอันใดเอ็งจึ่งยังมิเข้าไปกุฏิท่านอาจารย์

“ผม…เอ๊ย…ข้ามิอาจรู้ว่าท่านอาจารย์คือผู้ใด” ชะมวงรีบเจรจาแบบละครย้อนยุคบ้าง
หญิงสาวเจ้าของทรงผมปีกยิ้มเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์ภู่จอมกวีสยาม เอ็งมิมักคุ้นดอกรึ ?”
ชะมวงสะดุ้งเมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยชื่อสุนทรภู่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสุนทรภู่เคยบวชพระและจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามฯ ราว ๓ ปี ปัจจุบันกุฏิสุนทรภู่ก็ยังอยู่และมีการจัดงาน “วันสุนทรภู่” ในวันที่ ๒๖ มิถุนายนเป็นประจำทุกปี

“อ๋อ – ท่านภู่นั่นแล…” ผู้มาจากอนาคตแกล้งพูดเสียงดังแล้วหัวเราะลั่น ก่อนปรับระดับเสียงเป็นปกติ “แต่ด้วยเหตุอันใดฤา หมู่ชนถึงแห่แหนมาที่นี่เหลือคณา”
“เอ็งคงมาแต่ต่างเมืองไกลโพ้น” ฝ่ายชายกล่าว “จึ่งมิอาจรู้ว่าท่านอาจารย์จักลาสิกขาบท เนื่องมาแต่นิมิตร้ายแจ้งชะตาถึงฆาต”

“ว้า – แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการสึกหาลาเพศล่ะ” ชะมวงขี้เกียจคิดคำแบบละครย้อนยุค จึงพูดภาษาปัจจุบัน “ความฝันก็คือความฝันซีครับ ไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก ท่านภู่ไม่น่าเอามาเป็นอารมณ์เลย พับผ่าเถอะ… ผมเองฝันออกบ่อยว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่ไม่เคยถูกจริงๆ สักที มีแต่ถูกเจี๊ยะจนเจ๊งเพราะบ้อจี๊ ต้องกินน้ำเก๊กฮวยแก้เก๊กซิม…”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันอย่างงงๆ ฝ่ายหญิงพูดขึ้นว่า
“เอ็งเอ่ยวาจาแปร่งหูยิ่งนัก ข้าสองคนฟังแล้วมิอาจรู้ความ เอ็งมาแต่หนใดรึ? ผิวพรรณเอ็งจึ่งขาวซีดประหนึ่งศพ มิละม้ายผู้อื่นในบางนี้ที่ผิวคล้ำดุจนิล”
“ข้ามาจากเมืองมีนฯ ” ชะมวงรีบโกหกเท่าที่จะนึกได้ทัน
“เมืองมีนฯ…มีนบุรี อือม์ – ออกไกลโข มิน่าเล่า…ข้ากับผัวจึ่งมิคุ้นหน้าเอ็ง นึกแคลงใจเต็มทีว่าเอ็งเป็นชาวต่างถิ่น เอ็งย่อมรอนแรมหลายเพลาสิท่า กว่าจักมาถึงบางกอก”
ชะมวงพยักหน้าหงึกๆ
“จากเมืองมีนฯ มาที่นี่ก็ไกลพอดู ต้องนั่งรถเมล์สองสามต่อ ถ้าอยากเร็วนั่งแท็กซี่จะสะดวกกว่า แต่ต้องจ่ายกะตังค์มากหน่อย เพราะการจราจรในกรุงเทพฯ รถติดมาก ติดทุกถนนเลยแหละ”
อ้ายเสมาทำหน้าเหยเกเหมือนกินยาขม รีบหันไปสะกิดเมีย
“ไปกันบัดเดี๋ยวนี้เถิดน้องหญิง อย่าสูญเพลาเปล่า ข้าตรองจนประจักษ์แจ้งแล้วว่า อ้ายทิดผู้นี้คงสัมปชัญญะแค่สามสลึงเฟื้อง มันจึงเปล่งวาจาเรรวนพิกล”

สองผัวเมียผละไป ตามเวลาที่กล่าวนี้ผู้คนหลายสิบกำลังตรงมาที่วัด ชะมวงพยายามปลอบใจตัวเองให้เข้มแข็ง แล้วเดินตามหลังไปทันที เดินพลางระทึกใจไปพลาง เมื่อรู้ว่าตนเองทะลุมิติกาลเวลามาอยู่ในยุคของสุนทรภู่กวีเอกเมืองสยาม ที่องค์กรยูเนสโกยกย่องให้เป็น “บุคคลสำคัญของโลกทางด้านวรรณกรรม” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ซึ่งตรงกับวันเกิดครบ ๒๐๐ ปีของท่าน…
(ยังจบไม่ได้ครับ สุนทรภู่ยังไม่ปรากฏตัว กรุณารออ่านต่อคราวหน้าครับ)

ป.เป็ด หลานปู่ ป. 😀

Posted in พล นิกร กิมหงวน.